วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2563

รวม 5 หนังที่คุณควรดูก่อนอายุ 30 เพราะมันจะเปลี่ยนความคิดคุณไปตลอดกาล

เคยมีคำกล่าวกันว่า หนังดีๆ สักเรื่องสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ เพราะมันให้แรงบันดาลใจและข้อคิดกับเราได้ และข้อคิดเหล่านั้นก็จะกลายมาเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรายึดถือเอามาดำรงชีวิตต่อไป ยิ่งเราค้นพบข้อคิดหรือแนวทางดีๆ ได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งถือเป็นเรื่องที่ดีเท่านั้น

วันนี้#เหมียวฟิ้นเลยขอรวบรวม 10 ภาพยนตร์ให้แรงบันดาลใจ ที่คุณควรดูก่อนอายุ 30 จะมีเรื่องอะไรกันบ้างลองมาชมกันเลย  

1. Once

Once เล่าเรื่องราวของนักดนตรีเปิดหมวกคนหนึ่ง ที่ดันไปตกหลุมรักหญิงสาวเสียงดีที่มีครอบครัวแล้วแต่ไม่ค่อยจะแฮปปี้เท่าไหร่ เขาจึงชวนเธอมาทำเพลงร่วมกัน เรื่องราวทั้งหมดดำเนินไปได้ด้วยดี แต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้คนสองคนไม่อาจรักกันได้อย่างสนิทใจ

หนังจะช่วยให้คุณเข้าใจในความรักอีกรูปแบบหนึ่ง ที่แม้จะไม่ใช่ความรักแบบถูกครอบครอง แต่ก็ยังสามารถเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้

2. Blue Valentine

หนังเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของคู่รักคู่หนึ่งที่แต่งงานและอยู่ด้วยกันมาสักพักจนระหองระแหง แต่พวกเขาก็พยายามที่จะรักษามันเอาไว้ด้วยการพาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่แปลกออกไป เพื่อรำลึกถึงความหลังที่พวกเขายังคงรักกันดีเหมือนในวันแรกๆ ที่เจอกัน

หนังให้ข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่ได้ดีทีเดียว เพราะมันคือตัวอย่างที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ชีวิตคู่ของคนสองคนจะเกิดขึ้นได้ หากวันใดความรักของคุณมีอันต้องสิ้นสุดลง คุณก็ไม่อาจจะรั้งมันไว้ได้อีกต่อไป

3. Harry Potter

Harry Potter เป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนที่ต้องออกผจญภัยไปในโลกเวทย์มนต์ แม้ว่าหน้าหนังจะดูเป็นหนังแฟนตาซี แต่ก็ยังคงเล่าเรื่องราวความรัก มิตรภาพระหว่างเพื่อน ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปตั้งแต่เด็กจนโต ทำให้คนดูรู้สึกเติบโตไปพร้อมๆ กับตัวละคร

นอกจากมิตรภาพแล้ว หนังยังสอนเราด้วยว่าการจะอยู่รอดในสังคมได้นั้น แม้ตนเองจะเป็นคนที่แข็งแกร่งหรือโด่งดังแค่ไหนก็ตาม แต่คุณก็ควรจะมีมิตรแท้ไว้คอยช่วยเหลือในยามจำเป็นอย่างเช่น Hermione หรือเพื่อนที่พร้อมลุยกับคุณทุกเมื่อไม่ว่าดีหรือร้ายอย่าง Ron

4. Good Will Hunting

หนังเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มที่ชื่อ Will Hunting ภารโรงประจำมหาวิทยาลัย M.I.T. ที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการคำนวนและการแก้ไขสมการต่างๆ แต่กลับไม่นำมันออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แถมยังเอาแต่ดูถูกตัวเองและเลือกที่จะทำงานเป็นภารโรงมากกว่า

หนังแสดงให้เห็นว่าหากคุณมีความสามารถอะไรก็ควรนำมันออกมาใช้ให้เต็มที่ และควรจะหาอะไรที่เหมาะกับตัวเองให้เจอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะมันจะนำคุณไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน

5. The Perks of Being a Wallflower

หนังเล่าเรื่องราวของ Charlie เด็กหนุ่มผู้ไม่ประสีประสากับการมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นเท่าไหร่ จนวันหนึ่งเขาได้รู้จักกับ Sam และ Patrick ผู้ที่ดึงเขาออกมาจากความเปล่าเปลี่ยว และสอนให้เขารู้จักการมีสัมพันธ์ เพื่อน และความรัก

นี่ถือเป็นหนังแนว Coming-of-Age ที่น่าจดจำเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของความสัมพันธ์อันซับซ้อนของวัยรุ่น และความสัมพันธ์รูปแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นกับคุณเข้าสักวันก็เป็นได้

อ่านเพิ่มเติ่ม https://www.catdumb.com/10-movie-you-must-watch-before-30-717/

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2563

5 คุณประโยชน์สุดแจ๋วของการดูหนัง



มีคนไม่ใช่น้อยที่ไม่รู้เรื่องว่าเพราะเหตุไรเวลามองเห็นผู้ที่ถูกใจดูหนังมากมายๆแล้วถึงขนาดบ้าไคลและก็สะสมแผ่น DVD รวมทั้งแผ่น Bluray ไว้เยอะๆมาย ว่าคนๆนี้ทำเพราะเหตุใดขนาดนี้ปลดเปลื้องเงินเปล่าๆจะซื้ออะไรมาสะสมมากมาย หลายท่านที่ไม่รู้เรื่องและก็อุตสาหะแย้งในสิ่งที่ตามองเห็น แม้กระนั้นคนเหล่านั้นหารู้ไม่ว่า มันเป็นกรุสมบัติที่ความรู้สึกของคนคนหนึ่งนั้นเอง เกริ่นมาพอเหมาะแล้ว พวกเรามากล่าวถึง คุณประโยชน์สำหรับเพื่อการดูหนังกันเลยดีกว่า

1.ภาพยนตร์บางเรื่องให้ผลดีด้านการอนุรักษ์และรักษาวัฒนธรรม เป็นต้นว่า หนังไทยชื่อ โหมโรง (The Overture) ประเด็นนี้ได้สือถึง วัฒนธรรมแบบไทยๆอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีแล้วก็การประชันความรู้ความเข้าใจในด้านดนตรี ผู้ชมจะได้เพลินกับเสียงเพลงแล้วก็ดูดซึมในวัฒนธรรมแบบไทย และก็ในเรื่องตัวนำของเรื่อง ยังแทรกสอดรวมทั้งเป็นการสอนให้พวกเรามีความมานะบากบั่น ไม่ท้อถอย รู้บุญคุณกตัญญูกตเวที มีเหตุผลค้น และก็มีแนวทางเป็นของตัวเอง อื่นๆอีกมากมาย ส่วนภาพยนตร์ในชาติอ่านนักเขียนเองยังไม่ค่อยเห็นภาพมากเท่าไรนักอ่านเนื่องจากนักเขียนยังเข้าไม่ถึงในบางเรื่องขอรับ

2.ก่อให้เกิดความบันเทิงแล้วก็ลดความเคร่งเครียดจากภาระหน้าที่กิจการงานทุกวัน ภาพยนตร์โดยส่วนมากที่สร้างมานั้นจะยังคงสร้างเพื่อนฝูงย้ำให้ผู้ชมได้รับความสนุกสนานร่าเริง เพลินใจ รวมทั้งบรรเทา มีไม่กี่เรื่องที่ยังคงเน้นวิชาความรู้จริงๆเรื่องจริง รวมทั้งข้อมูลอันน่าไว้วางใจ

3.หนังในหลายๆเรื่องยังคงให้ความรู้ความเข้าใจและก็แนวทางเอาชีวิตรอดเสมอ ภาพยนตร์รูปแบบนี้โดยมากจะผลิตมาจากความเป็นจริงเสมอ เพราะว่าการที่คนๆหนึ่งสามารถผ่านเหตุการณือันเลวทรามในชีวิตมาได้รวมทั้งต้องการถ่ายทอดประสบการณ์เล็กน้อยนั้นลงทีวี เพื่อเป็นการเตือนสติแล้วก็/หรือ เป็นเคสแบบอย่างให้บุคคลได้เรียนรู้ละจำเพื่อนำไปประยุกต์ในชีวิตประจำวันของตัวเอง หรือ/แล้วก็ถ้าเกิดเจอเรื่องรูปแบบนี้ ก็บางทีอาจจะสามารถเอาชีวิตรอดจากอันตรายถูกจุดนั้นมาได้ ถ้าเกิดยังคงมีสติสัมปชัญญะดี ได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง Lone Survivor

4.ภาพยนตร์บางเรื่องยังคงรังสฤษฏ์ประวัติศาสตร์ให้ดำรงอยู่แล้วก็ยังยืนงาม บ่อยมากที่พวกเราดูหนังแนวประวิตศาสตร์ (History) พวกเราชอบมีความคิดขึ้นมาในหัวว่า หัวข้อนี้มันมีจริงหรออะไรทำนองนี้ หรือบางบุคคลถึงขึ้นมนัสว่า ถ้าเกิดตนเองอยู่ในช่วงนั้นจะเป็นตัวละครอะไรดีดก อาทิเช่น ภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระพระราชา ซึงได้รับการถ่ายทอดออกสู้โทรทัศน์โดย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ซึ่งทำเป็นถึง 6 ภาคแล้ว สำหรับชาวไทยแล้วจะรู้จักกันดี

5.ภาพยนตร์บางเรื่องชอบสอนให้ดำเนินชีวิตในทางอาชีพต่างๆหลายเรื่องที่บอกรวมทั้งกล่าวถึงอาชีพนี้ การมีความต้องการที่ต้องการทำอาชีพนี้ และก็ตั้งจุดหมายปลายทางไว้จุดไปถึงเสร็จ ภาพยนตร์หลายเรื่องสอนไว้ถึงปัญหาและก็ปัญหาต่างๆในอาชีพนั้นๆการจัดการกับปัญหาและก็ฝ่าฝันไปได้ หลายๆคนก็มีแรงกระตุ้นจากจุดนี้



โดยสรุปแล้ว การดูหนังเป็นกิจกรรมที่คนโดยมากถูกใจ แม้กระนั้นการคะเนหวังในหนังแต่ละเรื่องย่อมต่างกัน บางบุคคลดีบ้างไม่ดีบ้างคละเคล้ากันไปขึ้นกับคนรับจะรับสิ่งใด ทุกคนไม่ยอมรับสิ่งไม่ดีได้ ถ้าหากมีเหตุผลรวมทั้งมีคุณความดี ถ้าหากเพียงแต่แบบอย่างไม่ดีได้รับแล้วประพฤติตาม โดยไม่คิดใคร่ครวญ ย่อมเกิดเรื่องที่บกพร่องมากมายๆหนังแต่ละเรื่อง ก็เป็นประเด็นของเรื่องราวต่างๆที่มนุษย์เราจินตนาการขึ้นมา อาจมีเค้าเรื่องมาจากความเป็นจริง หรือแต่งแต้มขึ้นเอง แต่ว่าทุกเรื่องราว จะต้องทำให้ผู้ชมเชื่อ หนังประเด็นนั้นก็เลยจะเบิกบานตื่นเต้น ตื่นเต้น มนุษย์เรามีความไม่เหมือนกัน การเลือกดูหนังก็มิได้บอกถึงตัวตนอะไรของผู้ชม เนื่องจากบางทีอาจมองเนื่องจากกระแสการโฆษณา การโหมกระจายถึงข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับหนัง หรือมองเนื่องจากว่าเชิญชวนกันไป ตามแต่เหตุการณ์ของแต่ละคน คุณประโยชน์หลักเพื่อความรื่นเริงใจ

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561

10 หนังสงครามสร้างจากเรื่องจริง บทเรียนที่มนุษยชาติไม่เคยจำ



1. Platoon (1986)
หนังสงครามเวียดนามเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่ยังคงเป็นตำนานเล่าขานตีแผ่ความโหดร้ายในสงคราม ของทหารอเมริกันที่ทำสงครามอย่างไม่เต็มใจ ไร้จุดมุ่งหมาย พร้อมความตายที่มาเยือนได้ทุกเมื่อ ความป่าเถื่อน ซากศพกองพะเนิน เสียงปืน เสียงระเบิด ความกลัวที่คอยกัดกินหัวใจ นรกบนดินที่ผู้นำประเทศเอาชีวิตคนไปทิ้งเพื่ออุดมการณ์และอำนาจ ถามจริงว่าคุ้มมั้ย?


2. Schindler’s List (1993)
หนังสงครามภาพขาว-ดำชั้นยอดระดับรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่นำเสนอเรื่องจริงของ ออสการ์ ชินเดลอร์ ชายชาวออสเตรเลีย สมาชิกพรรคนาซีที่หวังเอาดีด้านธุรกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กลับเกิดเหตุการณ์สำคัญ ที่เปลี่ยนจิตใต้สำนึกให้เขากลายเป็นผู้ช่วยเหลือชาวยิวกว่า 1,000 คน ด้วยวิธีการทั้งติดสินบนทหาร แอบลักลอบซื้อชาวยิวเพื่อช่วยไม่ให้ถูกนำไปยิงเป้า โดยต้องคอยระวังไม่ให้พวกนาซีจับได้ว่าทรยศ

3. Braveheart (1995)
หนังสงครามสุดยิ่งใหญ่อลังการ เล่าเรื่องราวของ วิลเลียม วอลเลซ อัศวินชาวสกอตแลนด์ ผู้ปลุกระดมชาวสกอตแลนด์ให้ปลดแอกตัวเองออกจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ถึงแม้จะโดนคำวิจารณ์ทางลบในแง่ของความรุนแรงและเนื้อหาที่บิดเบือนจากความเป็นจริงไปบ้าง แต่หนังก็ยังคงกวาดรางวัลออสการ์ได้มากถึง 5 ตัว รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีอีกด้วย

4. Saving Private Ryan (1998)
หนังสงครามที่สื่อทุกสำนักต่างยกย่องว่ายอดเยี่ยมติดท็อป 10 ในทุกลิสต์ตลอดกาล คว้ารางวัลออสการ์มากถึง 5 ตัว ว่าด้วยเรื่องราวสงครามในช่วงการบุกยกพลในวันดีเดย์ ผ่านสายตาของกองทัพอเมริกันกองหนึ่งที่ได้รับภารกิจสำคัญให้ไปช่วย “พลทหารไรอัน” และฉากที่ถูกกล่าวขานในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเรื่องว่าจำลองภาพสมรภูมิสงครามได้สมจริงมากที่สุดเท่าที่วงการหนังเคยมีมา

5. Downfall (2004)
หนังสงครามสุดยอดเยี่ยมอีกเรื่อง ที่เล่าถึงเรื่องราว 10 วันสุดท้ายก่อนที่กองทัพนาซีจะประกาศแพ้สงคราม เราจะได้เห็นมุมมองความเผด็จการ ความโหดร้าย ความคิด ความรู้สึก แผนการยุทธวิธีของ “อดอลฟ์ ฮิตเลอร์” ในช่วงบั้นปลายชีวิตและช่วงท้ายของสงคราม โดยเนื้อเรื่องได้ถูกดัดแปลงมาจากบันทึกของ เทราด์ ยุงเกอร์ เลขานุการหญิงของฮิตเลอร์ ผู้ซึ่งเป็นพยานสำคัญในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่น้อยคนนักจะรู้

6. Letters From Iwo Jima (2006)
ฟังเรื่องราวสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองทหารอเมริกันมาเยอะแล้ว มาฟังด้านมุมมองของทหารญี่ปุ่นกันบ้าง เกี่ยวกับเรื่องราวของ “ไซโก” ทหารสงครามอดีตคนขายขนมปัง โดยตัวหนังโดดเด่นในเรื่องความกดดันบีบคั้นอารมณ์ เล่นกับประเด็นจิตใจของมนุษย์ในภาวะสงครามได้อย่างทรงพลัง ความสิ้นหวังของผู้แพ้สงครามและทหารที่ต้องมาตายในสงครามที่ตัวเองก็ไม่เต็มใจอยากจะรบมากนัก

7. Zero Dark Thirty (2012)
หนังสงครามกึ่งสารคดี ว่าด้วยภารกิจลอบสังหาร “บินลาเดน” จากปากของพยานที่เกี่ยวข้อง ผ่านมุมมองของเจ้าหน้าที่ CIA ที่ทำการสืบสวนจนค่อยๆ เข้าถึงตัวและสังหารอาชญากรที่ทางการอเมริกาต้องการตัวมากที่สุดได้สำเร็จ โดยหนังก็ยังไม่จบแค่นั้น แต่กลับทิ้งท้ายคำถามสำคัญว่าภารกิจครั้งนี้ทำขึ้นเพื่อล้างแค้นหรือเพื่อความสงบสุขของชาวอเมริกันหรือเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มไหนกันแน่

8. Fury (2014)
หนังสงครามจัดเต็มฉากแอ็คชั่นสาดกระสุน เขวี้ยงระเบิด รถถังประจันบาน มันส์เดือดเข้มข้นลุ้นระทึกตลอดเรื่องระดับ 10/10 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพอเมริกันต้องฝ่าแนวรบที่มีการป้องกันที่แน่นหนาโค่นล้มยากที่สุด อีกทั้งยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะสงครามในเวลาต่อมาด้วยความเสียสละของทหารกล้าเหล่านี้

9. Hacksaw Ridges (2016)
หนังสงครามสุดแปลกใหม่ เรื่องจริงของ “เดสมอนด์ ดอสส์” เด็กหนุ่มผู้เคร่งศาสนาแต่รักชาติ สมัครใจเป็นทหารเพื่อเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีข้อแม้ว่าจะไม่ถือปืนและฆ่าคนเด็ดขาด จนมีปัญหากับครูฝึก และเพื่อนทหารอย่างรุนแรง แต่ในที่สุดเขาก็ได้ร่วมรบในสมรภูมิ Hacksaw Ridge และได้สร้างปาฏิหาริย์ในการช่วยเหลือเพื่อนทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่ายได้มากกว่า 100 คน ด้วยการส่งร่างที่บาดเจ็บผ่านหน้าผาสูงด้วยวิธีการแสนทรหดอดทน โดยที่เขาไม่ได้จับปืนและฆ่าคนเลยแม้แต่คนเดียว

10. Dunkirk (2017)
สุดยอดหนังสงครามที่สร้างจากเรื่องจริง โดยหยิบเอาเหตุการณ์กองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสพร้อมทหารกว่า 330,000 นาย ที่ถูกล้อมโดยกองทัพนาซีเยอรมันพร้อมยานเกราะสุดแกร่ง ที่พร้อมมอบความตายได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว แต่ด้วยแผนการที่ชาญฉลาดของกองทัพเรืออังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตร ก็ทำให้กองทัพเยอรมันไม่สามารถบุกเข้ามาได้เต็มที่ นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่สุดครั้งหนึ่งของฮิตเลอร์ ที่ส่งผลให้เขาแพ้สงครามในเวลาต่อมา

credit : https://www.facebook.com/DuNangARadee

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Gravity Of Love (2018) รักแท้ แพ้แรงดึงดูด



ชื่ออังกฤษ : Gravity Of Love
ชื่อไทย : รักแท้ แพ้แรงดึงดูด
ประเภท : Drama, Romance
วันที่เข้าฉาย : 29 พฤศจิกายน 2018
ผู้กำกับ : ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์, ถิรกร ปิยธรรมชัย
นักแสดง : เต้ย จรินทร์พร,บอย ปกรณ์
เรื่องย่อ
Gravity Of Love (2018) รักแท้ แพ้แรงดึงดูด บอกเล่าเรื่องราวของ "ฟ้า" (จรินทร์พร จุนเกียรติ) ผู้หญิงที่ไร้ระเบียบแบบแผนในชีวิต ไม่เชื่อในความรักและพรหมลิขิตกำลังตามแก้เผ็ดกับเหล่าอดีตคนรักที่ ทำให้เธอผิดหวัง แต่นั่นกลับทำให้เธอได้พบกับ "เซน" ( ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์) ชายหนุ่มสุดเพอเฟกต์ที่เหมือนกับชะตาถูกขีดให้ทั้งสองคนมาพบกัน เซนต้องมาคอยดูแลผู้หญิงแปลกหน้าที่เมาสุดๆ แต่ก็น่ารักสุดๆ และการได้อยู่กับฟ้าทำให้เซนได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาของทั้งคู่ ทั้งสองอยู่ในสถานที่เดียวกันและเฉียดผ่านกันมาตลอด แต่ในค่ำคืนที่แสนประทับใจนั้นทั้งสองคนจากกันด้วยคำท้าว่าถ้าเราต่างเป็นพรมลิขิตกันจริงทั้งคู่จะได้เจอกันโดยที่ไม่ทิ้งการติดต่อให้กันและกันเลย


วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Redd Inc. (2012) (aka Inhuman Resources) บอสใหม่ หัวใจอำมหิต



Redd Inc. (2012) (aka Inhuman Resources) บอสใหม่ หัวใจอำมหิต
เล่าแนะนำเรื่องคร่าวๆ ครับ: ภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของฆาตกรฆ่าตัดหัวซึ่งได้ฆ่าเพื่อนร่วมงานไป และถูกจับส่งเข้าโรงพยาบาลบ้า ก่อนจะมีข่าวออกมาว่าถูกไฟไหม้จนเสียชีวิต ทีนี้เรื่องก็ดูเหมือนจะจบลงไปด้วยดี แต่มันก็เริ่มมีคนหายไป คนที่หายไปก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือ แอนนาเบลล์ เฮล (เคลลี เพเตอร์นิตี) สาวเต้นเปลื้องผ้าหน้าคอมที่เห็นเหตุการณ์ เธอถูกจับมาและตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองถูกล่ามโซ่พร้อมกับคนอื่นอีก 5 คน

ไม่นานก็มีคนเข้ามา บอกว่าชื่อโทมัส เรดแมนน์ (นิโคลัส โฮป) เป็นเจ้านายใหม่ของพวกเขา และสั่งให้พวกเขา 6 คนทำงานเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ผิด ทุกคนก็ทำงาน มีให้เข้าห้องน้ำ ให้กิน แต่ถ้าใครทำอะไรผิดพลาดก็จะโดนตะขอที่อยู่มือของโทมัสกรีดหน้าผาก ใครโดยครบ 5 ครั้งก็จะถูกฆ่าตายอย่างสยดสยอง แอนนาเบลล์ตอนไปในห้องน้ำก็พยายามหาช่องทางนี้ มีวิลเลี่ยม ทัคเกอร์ (แซม รีด) หนุ่มที่ถูกจับมาอีกคนที่มักคุยกับเธอ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย

แต่ทีนี้พอเริ่มมีคนตายไปทีละคน คนที่เหลือก็กลัวลนลานกัน ทุกคนจึงพยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากที่นี่ แต่จะหนีไปได้หรือไม่ ต้องไปติดตามครับ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Suite Française (2014) ไฟสงครามไม่อาจกั้นรัก


Suite Française (2014) ไฟสงครามไม่อาจกั้นรัก

เล่าแนะนำคร่าวๆ ครับ : ภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายที่เขียนไม่จบของอิเรเน เนมิรอฟสกี หญิงสาวชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกจับไปซะก่อน และเสียชีวิตในค่ายกักกันเชลย ซึ่งกว่าจะได้ตีพิมพ์ก็ปี 2004 เป็นนิยายที่ได้รับคำชม แต่น่าเสียที่เรื่องราวอาจจะมีมากกว่านี้ หนังเป็นผลงานของผู้กำกับ ซอล ดิบบ์ จาก The Duchess (2008) และ Journey's End (2017) เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพของนาซีได้เข้ายึดครองฝรั่งเศส ทุกบ้านเลยต้องรับนายทหารเข้าไปอยู่ด้วย โดยเฉพาะบ้านคนรวย นางเอกชื่อลูซิล (มิเชล วิลเลียมส์) มีสามีแล้ว แต่เขาออกไปรบและยังไม่รู้ชะตากรรม ในเมืองผู้ชายที่เหลือเลยมีแต่เด็ก คนแก่ คนพิการ เธออยู่กับมาดามแองเจลิเอร์ผู้เป็นแม่สามี (คริสติน สก็อต โทมัส) เป็นคนรวยที่เคี่ยวพอสมควร ซึ่งบ้านนี้ก็ได้รับ ร้อยโทบรูโน่ ฟอน ฟอล์ก (มาทิอัส โชนาร์ท) เข้ามาอยู่ด้วย ลูซิลพยายามจะไม่พูดกับเขา แต่บรูโน่มีสิ่งที่เหมือนกับเธอ คือเขาชอบดนตรี และที่บ้านนี้ก็เงียบมานานไม่มีคนให้คุย มันก็เลยจูนกันได้ง่าย แต่ก็ยังมีระยะห่าง เพราะแม่สามีเธอไม่ชอบในเรื่องนี้ เลยต้องแอบๆ กัน แต่ว่าในเรื่องมันจะมีจุดพลิกผันหนึ่งอย่างที่ทำให้ระยะห่างนี้หายไปจนเกิดเป็นความรัก

ซึ่งเนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีแค่รักอย่างเดียว มีตัวละครย่อยหลายตัว ที่เด่นคือ เบอนัวต์ (แซม ไรลี่ย์) ชายขาเป๋เลยไม่ได้ไปรบ เขาอยู่กับมาเดอลีน (รูธ วิลสัน) ผู้เป็นภรรยา ทำกินอยู่ในที่ดินของไวเคานต์ (ชื่อยศขุนนางของฝรั่งเศส) ตอนแรกครอบครัวนี้ไม่ต้องรับทหาร แต่เมียของไวเคานต์อึดอัดที่จะมีทหารเยอรมันมาอยู่ด้วย เลยไปติดสินบนจนทำให้นายทหารชื่อบอนเนต์ (ทอม ชิลลิ่ง) ต้องมาอยู่ที่บ้านครอบครัวนี้ มาถึงก็หน้าหม้อใส่มาเดอลีน เบอนัวต์เลยเก็บความเคียดแค้นอยู่ในใจ และมันจะมีเรื่องที่ทำให้เบอร์นัวต์ต้องถูกจับ เขาเลยต้องหนีแล้วลูซิลก็จะเป็นคนช่วย เธอต้องปิดเป็นความลับไม่ให้บรูโน่รู้เรื่องนี้ บรูโน่เองก็ต้องทำหน้าที่แม้ว่าบางอย่างจะขัดอยู่ในใจ อย่างเช่นการต้องเป็นคุมการยิงเป้าคนที่ไม่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ของเบอนัวต์ แต่สุดท้ายแล้วจะรู้หรือไม่และตัดสินใจยังไงต้องไปดูครับ

นอกจากนี้ยังมีตัวละคร เซลีน (มาร์โก ร็อบบี) เป็นผู้เช่าของมาดามแองเจลิเอร์ที่รักกับทหารเยอรมัน ลีอาห์ (อเล็กซานดรา มาเรีย ลารา) กับลูกสาว หญิงสาวที่อพยพมาจากฝรั่งเศส เป็นตัวละครที่เหมือนกับคนเขียนนิยายเรื่องนี้เลยครับ และเรื่องของไวเคานต์กับภรรยาที่ดูตอนแรกเหมือนจะน่าหมั่นไส้ แต่ลงท้ายแล้วเป็นอะไรที่น่าสะเทือนใจเหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review:Liverleaf 2018 ลำนำดอกโศก

Review:Liverleaf 2018 ลำนำดอกโศก




           Liverleaf ลำนำดอกโศก หรือในเวอร์ชั่นมังงะจะใช้ชื่อว่า Misumisou เรื่องราวของโศกนาฏกรรมการสูญเสียของเด็กสาวมัธยมปลายที่พึ่งย้ายจากโตเกียวมาเรียนบ้านนอกคนหนึ่งชื่อ ฮารูกะ และโดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนๆในโรงเรียนของเธออยู่เป็นประจำ ถึงแม้เธอจะพยายามปกปิดคนในครอบครัวมาโดยตลอดและอยู่อย่างอดทนอดกลั้น แต่ทว่าพ่อก็จับพิรุธของฮารุกะได้และขอให้อดทนเอาไว้เพราะอีกไม่ถึง 2 เดือนก็จะจบการศึกษาแล้ว แต่กลายเป็นว่าการกลั่นแกล้งของเพื่อนๆที่โรงเรียนของฮารุกะนั้น กลับทว่าความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงตัดสินใจที่จะหยุดเรียนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ส่งผลทำให้กลุ่มที่กลั่นแกล้งฮารุกะหันไปแกล้ง รูมิ ที่หน้าตาอ่อนแอและตัวเล็กที่สุดในห้องแทน ซึ่งนั่นทำให้รูมิผูกใจเจ็บต่อฮารูกะ และคิดอยู่เสมอว่าเธอคือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด จากความอัดอั้นตันใจแปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาตมาดร้าย เมื่อรูมิเอ่ยปากว่า"ฉันจะฆ่ามันและจะให้มันรู้สึกอยากตายให้ได้เลย คอยดู" จากนั้นเธอกับเพื่อนอีก 6 คนก็เดินทางไปที่บ้านของฮารูกะเพื่อหวังที่จะแกล้งจุดไฟเผาบ้านของเธอ หากแต่เรื่องราวนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเด็กๆคิด เมื่อไฟได้ลุกลามไหม้บ้านทั้งหลังของฮารูกะ ส่งผลให้พ่อและแม่ของเธอต้องเสียชีวิตอย่างน่าเวทนาในกองเพลิง ส่วนน้องสาวเพียงคนเดียวก็ถูกไฟครอกจนอาการสาหัสเป็นตายเท่ากัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับฮารูกะเป็นอย่างยิ่ง จนเธอไม่อาจทนได้ต่อไปอีก แล้วยิ่งฮารูกะได้มารู้ในภายหลังอีกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือการกลั้นแกล้งของกลุ่มเพื่อนๆของเธอเอง มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกเคียดแค้นและออกจัดการไล่ล่าล้างแค้นกับพวกเหล่าเด็กเกเรไปทีละคน



ระดับของเนื้อหา

          ต้องบอกเลยว่าครั้งแรกที่ผมได้อ่านการ์ตูนเรื่อง Misumisou จนจบครบทั้ง 20 ตอน ผมถอนหายใจยาวๆแล้วพูดกับตัวเองเลยว่า"เรื่องราวมันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง" มูลเหตุจากการกลั้นแกล้งเล็กๆน้อยๆของเพื่อนในโรงเรียน นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมที่ใครก็ไม่คาดคิด และชักนำเด็กสาวคนหนึ่งให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อครอบครัวที่จากไป ซึ่งในที่นี้ก็คือ"การล้างแค้น" ชีวิตที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต ตัวหนังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมของคนในวัยเรียนได้อย่างชัดเจน การกลั้นแกล้งที่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง การปล่อยปะละเลยของบรรดาคุณครูและผู้ปกครอง แต่ดันมัวแต่สนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าที่จะสนใจพวกเด็กๆ ทุกคนทุกครอบครัวต่างล้วนแล้วแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น เมื่อพวกเขาไม่มีทางออก ทางเดียวที่จะปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างได้ก็คือที่โรงเรียน เห็นไหมครับว่าจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ก็สามารถแผ่ขยายความเสียหายออกไปได้ขนาดไหนกัน จงอย่าละเลยที่จะดูแลและเอาใจใส่บุตรหลานของท่านให้ดี จงอย่าให้เรื่องราวเหล่านี้เกิดกับครอบครัวของใครอีกเลย
ระดับความสยอง

      หากใครที่เคยสัมผัสกับลำนำดอกโศกในเวอร์ชั่นมังงะมาก่อนแล้วก็คงจะทราบดี ว่าภายใต้ภาพหน้าตาของเด็กสาวน่ารักๆนั้น มันแฝงความโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดไหน ซึ่งผมบอกได้เลยว่าโคตรโหดและสะเทือนใจแบบสุดๆไปเลยครับ ซึ่งในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ก็ถ่ายทอดออกมาได้เกือบสมบูรณ์แบบและใกล้เคียงกับต้นฉบับแบบถึงที่สุด จัดว่าเป็นอีกหนึ่ง Live Action จากประเทศญี่ปุ่นที่ทำออกมาได้ดีแบบสุดๆ และถึงแม้คุณจะไม่เคยอ่านเรื่องราวของมันมาก่อน ก็สามารถดูได้อย่างเข้าใจทุกอย่างดีครับผม ตัวหนังอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวสุดเจ็บปวด ความสะเทือนขวัญ การแก้แค้นสุดโหดเหี้ยมและความอัปลักษณ์ภายในจิตใจของมนุษย์
 ระดับความน่าดู

          บอกตรงๆว่าประทับใจกับภาพยนตร์ Live Action เรื่องนี้มาก เพราะว่าทำเนื้อหาและเรื่องราวได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับอย่างถึงที่สุด จะแตกต่างก็ตรงที่บางฉากถูกเปลี่ยนไปบ้าง แต่เนื้อหาโดยรวมก็ยังครบถ้วนสมบูรณ์ เรียกได้ว่าลอกการ์ตูนมาเกิน 90% แถมยังทำออกมาให้ดูเข้าใจเรื่องราวได้โดยง่าย คนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูนมาก่อนก็สามารถดูได้อย่างสนุก ซึ่งแทบจะหาไม่ได้เลยในภาพยนตร์ Live Action จากประเทศญี่ปุ่น (ไม่ได้ดูถูกนะครับ แต่เสียงส่วนใหญ่พูดมาแบบนี้เช่นกัน ว่าอ่านการ์ตูนดีกว่าหลายเท่าตัว) โดยรวมผมให้เรื่องนี้ผ่านอย่างไม่ต้องสงสัยและเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แนวล้างแค้นที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง