วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561

10 หนังสงครามสร้างจากเรื่องจริง บทเรียนที่มนุษยชาติไม่เคยจำ



1. Platoon (1986)
หนังสงครามเวียดนามเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่ยังคงเป็นตำนานเล่าขานตีแผ่ความโหดร้ายในสงคราม ของทหารอเมริกันที่ทำสงครามอย่างไม่เต็มใจ ไร้จุดมุ่งหมาย พร้อมความตายที่มาเยือนได้ทุกเมื่อ ความป่าเถื่อน ซากศพกองพะเนิน เสียงปืน เสียงระเบิด ความกลัวที่คอยกัดกินหัวใจ นรกบนดินที่ผู้นำประเทศเอาชีวิตคนไปทิ้งเพื่ออุดมการณ์และอำนาจ ถามจริงว่าคุ้มมั้ย?


2. Schindler’s List (1993)
หนังสงครามภาพขาว-ดำชั้นยอดระดับรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ที่นำเสนอเรื่องจริงของ ออสการ์ ชินเดลอร์ ชายชาวออสเตรเลีย สมาชิกพรรคนาซีที่หวังเอาดีด้านธุรกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กลับเกิดเหตุการณ์สำคัญ ที่เปลี่ยนจิตใต้สำนึกให้เขากลายเป็นผู้ช่วยเหลือชาวยิวกว่า 1,000 คน ด้วยวิธีการทั้งติดสินบนทหาร แอบลักลอบซื้อชาวยิวเพื่อช่วยไม่ให้ถูกนำไปยิงเป้า โดยต้องคอยระวังไม่ให้พวกนาซีจับได้ว่าทรยศ

3. Braveheart (1995)
หนังสงครามสุดยิ่งใหญ่อลังการ เล่าเรื่องราวของ วิลเลียม วอลเลซ อัศวินชาวสกอตแลนด์ ผู้ปลุกระดมชาวสกอตแลนด์ให้ปลดแอกตัวเองออกจากการเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ถึงแม้จะโดนคำวิจารณ์ทางลบในแง่ของความรุนแรงและเนื้อหาที่บิดเบือนจากความเป็นจริงไปบ้าง แต่หนังก็ยังคงกวาดรางวัลออสการ์ได้มากถึง 5 ตัว รวมถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีอีกด้วย

4. Saving Private Ryan (1998)
หนังสงครามที่สื่อทุกสำนักต่างยกย่องว่ายอดเยี่ยมติดท็อป 10 ในทุกลิสต์ตลอดกาล คว้ารางวัลออสการ์มากถึง 5 ตัว ว่าด้วยเรื่องราวสงครามในช่วงการบุกยกพลในวันดีเดย์ ผ่านสายตาของกองทัพอเมริกันกองหนึ่งที่ได้รับภารกิจสำคัญให้ไปช่วย “พลทหารไรอัน” และฉากที่ถูกกล่าวขานในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเรื่องว่าจำลองภาพสมรภูมิสงครามได้สมจริงมากที่สุดเท่าที่วงการหนังเคยมีมา

5. Downfall (2004)
หนังสงครามสุดยอดเยี่ยมอีกเรื่อง ที่เล่าถึงเรื่องราว 10 วันสุดท้ายก่อนที่กองทัพนาซีจะประกาศแพ้สงคราม เราจะได้เห็นมุมมองความเผด็จการ ความโหดร้าย ความคิด ความรู้สึก แผนการยุทธวิธีของ “อดอลฟ์ ฮิตเลอร์” ในช่วงบั้นปลายชีวิตและช่วงท้ายของสงคราม โดยเนื้อเรื่องได้ถูกดัดแปลงมาจากบันทึกของ เทราด์ ยุงเกอร์ เลขานุการหญิงของฮิตเลอร์ ผู้ซึ่งเป็นพยานสำคัญในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่น้อยคนนักจะรู้

6. Letters From Iwo Jima (2006)
ฟังเรื่องราวสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองทหารอเมริกันมาเยอะแล้ว มาฟังด้านมุมมองของทหารญี่ปุ่นกันบ้าง เกี่ยวกับเรื่องราวของ “ไซโก” ทหารสงครามอดีตคนขายขนมปัง โดยตัวหนังโดดเด่นในเรื่องความกดดันบีบคั้นอารมณ์ เล่นกับประเด็นจิตใจของมนุษย์ในภาวะสงครามได้อย่างทรงพลัง ความสิ้นหวังของผู้แพ้สงครามและทหารที่ต้องมาตายในสงครามที่ตัวเองก็ไม่เต็มใจอยากจะรบมากนัก

7. Zero Dark Thirty (2012)
หนังสงครามกึ่งสารคดี ว่าด้วยภารกิจลอบสังหาร “บินลาเดน” จากปากของพยานที่เกี่ยวข้อง ผ่านมุมมองของเจ้าหน้าที่ CIA ที่ทำการสืบสวนจนค่อยๆ เข้าถึงตัวและสังหารอาชญากรที่ทางการอเมริกาต้องการตัวมากที่สุดได้สำเร็จ โดยหนังก็ยังไม่จบแค่นั้น แต่กลับทิ้งท้ายคำถามสำคัญว่าภารกิจครั้งนี้ทำขึ้นเพื่อล้างแค้นหรือเพื่อความสงบสุขของชาวอเมริกันหรือเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มไหนกันแน่

8. Fury (2014)
หนังสงครามจัดเต็มฉากแอ็คชั่นสาดกระสุน เขวี้ยงระเบิด รถถังประจันบาน มันส์เดือดเข้มข้นลุ้นระทึกตลอดเรื่องระดับ 10/10 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพอเมริกันต้องฝ่าแนวรบที่มีการป้องกันที่แน่นหนาโค่นล้มยากที่สุด อีกทั้งยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะสงครามในเวลาต่อมาด้วยความเสียสละของทหารกล้าเหล่านี้

9. Hacksaw Ridges (2016)
หนังสงครามสุดแปลกใหม่ เรื่องจริงของ “เดสมอนด์ ดอสส์” เด็กหนุ่มผู้เคร่งศาสนาแต่รักชาติ สมัครใจเป็นทหารเพื่อเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีข้อแม้ว่าจะไม่ถือปืนและฆ่าคนเด็ดขาด จนมีปัญหากับครูฝึก และเพื่อนทหารอย่างรุนแรง แต่ในที่สุดเขาก็ได้ร่วมรบในสมรภูมิ Hacksaw Ridge และได้สร้างปาฏิหาริย์ในการช่วยเหลือเพื่อนทหารที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่ายได้มากกว่า 100 คน ด้วยการส่งร่างที่บาดเจ็บผ่านหน้าผาสูงด้วยวิธีการแสนทรหดอดทน โดยที่เขาไม่ได้จับปืนและฆ่าคนเลยแม้แต่คนเดียว

10. Dunkirk (2017)
สุดยอดหนังสงครามที่สร้างจากเรื่องจริง โดยหยิบเอาเหตุการณ์กองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสพร้อมทหารกว่า 330,000 นาย ที่ถูกล้อมโดยกองทัพนาซีเยอรมันพร้อมยานเกราะสุดแกร่ง ที่พร้อมมอบความตายได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว แต่ด้วยแผนการที่ชาญฉลาดของกองทัพเรืออังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตร ก็ทำให้กองทัพเยอรมันไม่สามารถบุกเข้ามาได้เต็มที่ นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่สุดครั้งหนึ่งของฮิตเลอร์ ที่ส่งผลให้เขาแพ้สงครามในเวลาต่อมา

credit : https://www.facebook.com/DuNangARadee

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Gravity Of Love (2018) รักแท้ แพ้แรงดึงดูด



ชื่ออังกฤษ : Gravity Of Love
ชื่อไทย : รักแท้ แพ้แรงดึงดูด
ประเภท : Drama, Romance
วันที่เข้าฉาย : 29 พฤศจิกายน 2018
ผู้กำกับ : ธรธร สิริพันธ์วราภรณ์, ถิรกร ปิยธรรมชัย
นักแสดง : เต้ย จรินทร์พร,บอย ปกรณ์
เรื่องย่อ
Gravity Of Love (2018) รักแท้ แพ้แรงดึงดูด บอกเล่าเรื่องราวของ "ฟ้า" (จรินทร์พร จุนเกียรติ) ผู้หญิงที่ไร้ระเบียบแบบแผนในชีวิต ไม่เชื่อในความรักและพรหมลิขิตกำลังตามแก้เผ็ดกับเหล่าอดีตคนรักที่ ทำให้เธอผิดหวัง แต่นั่นกลับทำให้เธอได้พบกับ "เซน" ( ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์) ชายหนุ่มสุดเพอเฟกต์ที่เหมือนกับชะตาถูกขีดให้ทั้งสองคนมาพบกัน เซนต้องมาคอยดูแลผู้หญิงแปลกหน้าที่เมาสุดๆ แต่ก็น่ารักสุดๆ และการได้อยู่กับฟ้าทำให้เซนได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาของทั้งคู่ ทั้งสองอยู่ในสถานที่เดียวกันและเฉียดผ่านกันมาตลอด แต่ในค่ำคืนที่แสนประทับใจนั้นทั้งสองคนจากกันด้วยคำท้าว่าถ้าเราต่างเป็นพรมลิขิตกันจริงทั้งคู่จะได้เจอกันโดยที่ไม่ทิ้งการติดต่อให้กันและกันเลย


วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Redd Inc. (2012) (aka Inhuman Resources) บอสใหม่ หัวใจอำมหิต



Redd Inc. (2012) (aka Inhuman Resources) บอสใหม่ หัวใจอำมหิต
เล่าแนะนำเรื่องคร่าวๆ ครับ: ภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของฆาตกรฆ่าตัดหัวซึ่งได้ฆ่าเพื่อนร่วมงานไป และถูกจับส่งเข้าโรงพยาบาลบ้า ก่อนจะมีข่าวออกมาว่าถูกไฟไหม้จนเสียชีวิต ทีนี้เรื่องก็ดูเหมือนจะจบลงไปด้วยดี แต่มันก็เริ่มมีคนหายไป คนที่หายไปก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว หนึ่งในนั้นคือ แอนนาเบลล์ เฮล (เคลลี เพเตอร์นิตี) สาวเต้นเปลื้องผ้าหน้าคอมที่เห็นเหตุการณ์ เธอถูกจับมาและตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองถูกล่ามโซ่พร้อมกับคนอื่นอีก 5 คน

ไม่นานก็มีคนเข้ามา บอกว่าชื่อโทมัส เรดแมนน์ (นิโคลัส โฮป) เป็นเจ้านายใหม่ของพวกเขา และสั่งให้พวกเขา 6 คนทำงานเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ผิด ทุกคนก็ทำงาน มีให้เข้าห้องน้ำ ให้กิน แต่ถ้าใครทำอะไรผิดพลาดก็จะโดนตะขอที่อยู่มือของโทมัสกรีดหน้าผาก ใครโดยครบ 5 ครั้งก็จะถูกฆ่าตายอย่างสยดสยอง แอนนาเบลล์ตอนไปในห้องน้ำก็พยายามหาช่องทางนี้ มีวิลเลี่ยม ทัคเกอร์ (แซม รีด) หนุ่มที่ถูกจับมาอีกคนที่มักคุยกับเธอ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย

แต่ทีนี้พอเริ่มมีคนตายไปทีละคน คนที่เหลือก็กลัวลนลานกัน ทุกคนจึงพยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากที่นี่ แต่จะหนีไปได้หรือไม่ ต้องไปติดตามครับ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Suite Française (2014) ไฟสงครามไม่อาจกั้นรัก


Suite Française (2014) ไฟสงครามไม่อาจกั้นรัก

เล่าแนะนำคร่าวๆ ครับ : ภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายที่เขียนไม่จบของอิเรเน เนมิรอฟสกี หญิงสาวชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกจับไปซะก่อน และเสียชีวิตในค่ายกักกันเชลย ซึ่งกว่าจะได้ตีพิมพ์ก็ปี 2004 เป็นนิยายที่ได้รับคำชม แต่น่าเสียที่เรื่องราวอาจจะมีมากกว่านี้ หนังเป็นผลงานของผู้กำกับ ซอล ดิบบ์ จาก The Duchess (2008) และ Journey's End (2017) เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพของนาซีได้เข้ายึดครองฝรั่งเศส ทุกบ้านเลยต้องรับนายทหารเข้าไปอยู่ด้วย โดยเฉพาะบ้านคนรวย นางเอกชื่อลูซิล (มิเชล วิลเลียมส์) มีสามีแล้ว แต่เขาออกไปรบและยังไม่รู้ชะตากรรม ในเมืองผู้ชายที่เหลือเลยมีแต่เด็ก คนแก่ คนพิการ เธออยู่กับมาดามแองเจลิเอร์ผู้เป็นแม่สามี (คริสติน สก็อต โทมัส) เป็นคนรวยที่เคี่ยวพอสมควร ซึ่งบ้านนี้ก็ได้รับ ร้อยโทบรูโน่ ฟอน ฟอล์ก (มาทิอัส โชนาร์ท) เข้ามาอยู่ด้วย ลูซิลพยายามจะไม่พูดกับเขา แต่บรูโน่มีสิ่งที่เหมือนกับเธอ คือเขาชอบดนตรี และที่บ้านนี้ก็เงียบมานานไม่มีคนให้คุย มันก็เลยจูนกันได้ง่าย แต่ก็ยังมีระยะห่าง เพราะแม่สามีเธอไม่ชอบในเรื่องนี้ เลยต้องแอบๆ กัน แต่ว่าในเรื่องมันจะมีจุดพลิกผันหนึ่งอย่างที่ทำให้ระยะห่างนี้หายไปจนเกิดเป็นความรัก

ซึ่งเนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีแค่รักอย่างเดียว มีตัวละครย่อยหลายตัว ที่เด่นคือ เบอนัวต์ (แซม ไรลี่ย์) ชายขาเป๋เลยไม่ได้ไปรบ เขาอยู่กับมาเดอลีน (รูธ วิลสัน) ผู้เป็นภรรยา ทำกินอยู่ในที่ดินของไวเคานต์ (ชื่อยศขุนนางของฝรั่งเศส) ตอนแรกครอบครัวนี้ไม่ต้องรับทหาร แต่เมียของไวเคานต์อึดอัดที่จะมีทหารเยอรมันมาอยู่ด้วย เลยไปติดสินบนจนทำให้นายทหารชื่อบอนเนต์ (ทอม ชิลลิ่ง) ต้องมาอยู่ที่บ้านครอบครัวนี้ มาถึงก็หน้าหม้อใส่มาเดอลีน เบอนัวต์เลยเก็บความเคียดแค้นอยู่ในใจ และมันจะมีเรื่องที่ทำให้เบอร์นัวต์ต้องถูกจับ เขาเลยต้องหนีแล้วลูซิลก็จะเป็นคนช่วย เธอต้องปิดเป็นความลับไม่ให้บรูโน่รู้เรื่องนี้ บรูโน่เองก็ต้องทำหน้าที่แม้ว่าบางอย่างจะขัดอยู่ในใจ อย่างเช่นการต้องเป็นคุมการยิงเป้าคนที่ไม่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ของเบอนัวต์ แต่สุดท้ายแล้วจะรู้หรือไม่และตัดสินใจยังไงต้องไปดูครับ

นอกจากนี้ยังมีตัวละคร เซลีน (มาร์โก ร็อบบี) เป็นผู้เช่าของมาดามแองเจลิเอร์ที่รักกับทหารเยอรมัน ลีอาห์ (อเล็กซานดรา มาเรีย ลารา) กับลูกสาว หญิงสาวที่อพยพมาจากฝรั่งเศส เป็นตัวละครที่เหมือนกับคนเขียนนิยายเรื่องนี้เลยครับ และเรื่องของไวเคานต์กับภรรยาที่ดูตอนแรกเหมือนจะน่าหมั่นไส้ แต่ลงท้ายแล้วเป็นอะไรที่น่าสะเทือนใจเหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review:Liverleaf 2018 ลำนำดอกโศก

Review:Liverleaf 2018 ลำนำดอกโศก




           Liverleaf ลำนำดอกโศก หรือในเวอร์ชั่นมังงะจะใช้ชื่อว่า Misumisou เรื่องราวของโศกนาฏกรรมการสูญเสียของเด็กสาวมัธยมปลายที่พึ่งย้ายจากโตเกียวมาเรียนบ้านนอกคนหนึ่งชื่อ ฮารูกะ และโดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนๆในโรงเรียนของเธออยู่เป็นประจำ ถึงแม้เธอจะพยายามปกปิดคนในครอบครัวมาโดยตลอดและอยู่อย่างอดทนอดกลั้น แต่ทว่าพ่อก็จับพิรุธของฮารุกะได้และขอให้อดทนเอาไว้เพราะอีกไม่ถึง 2 เดือนก็จะจบการศึกษาแล้ว แต่กลายเป็นว่าการกลั่นแกล้งของเพื่อนๆที่โรงเรียนของฮารุกะนั้น กลับทว่าความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงตัดสินใจที่จะหยุดเรียนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ส่งผลทำให้กลุ่มที่กลั่นแกล้งฮารุกะหันไปแกล้ง รูมิ ที่หน้าตาอ่อนแอและตัวเล็กที่สุดในห้องแทน ซึ่งนั่นทำให้รูมิผูกใจเจ็บต่อฮารูกะ และคิดอยู่เสมอว่าเธอคือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด จากความอัดอั้นตันใจแปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาตมาดร้าย เมื่อรูมิเอ่ยปากว่า"ฉันจะฆ่ามันและจะให้มันรู้สึกอยากตายให้ได้เลย คอยดู" จากนั้นเธอกับเพื่อนอีก 6 คนก็เดินทางไปที่บ้านของฮารูกะเพื่อหวังที่จะแกล้งจุดไฟเผาบ้านของเธอ หากแต่เรื่องราวนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเด็กๆคิด เมื่อไฟได้ลุกลามไหม้บ้านทั้งหลังของฮารูกะ ส่งผลให้พ่อและแม่ของเธอต้องเสียชีวิตอย่างน่าเวทนาในกองเพลิง ส่วนน้องสาวเพียงคนเดียวก็ถูกไฟครอกจนอาการสาหัสเป็นตายเท่ากัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับฮารูกะเป็นอย่างยิ่ง จนเธอไม่อาจทนได้ต่อไปอีก แล้วยิ่งฮารูกะได้มารู้ในภายหลังอีกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือการกลั้นแกล้งของกลุ่มเพื่อนๆของเธอเอง มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกเคียดแค้นและออกจัดการไล่ล่าล้างแค้นกับพวกเหล่าเด็กเกเรไปทีละคน



ระดับของเนื้อหา

          ต้องบอกเลยว่าครั้งแรกที่ผมได้อ่านการ์ตูนเรื่อง Misumisou จนจบครบทั้ง 20 ตอน ผมถอนหายใจยาวๆแล้วพูดกับตัวเองเลยว่า"เรื่องราวมันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง" มูลเหตุจากการกลั้นแกล้งเล็กๆน้อยๆของเพื่อนในโรงเรียน นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมที่ใครก็ไม่คาดคิด และชักนำเด็กสาวคนหนึ่งให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อครอบครัวที่จากไป ซึ่งในที่นี้ก็คือ"การล้างแค้น" ชีวิตที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต ตัวหนังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมของคนในวัยเรียนได้อย่างชัดเจน การกลั้นแกล้งที่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง การปล่อยปะละเลยของบรรดาคุณครูและผู้ปกครอง แต่ดันมัวแต่สนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าที่จะสนใจพวกเด็กๆ ทุกคนทุกครอบครัวต่างล้วนแล้วแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น เมื่อพวกเขาไม่มีทางออก ทางเดียวที่จะปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างได้ก็คือที่โรงเรียน เห็นไหมครับว่าจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ก็สามารถแผ่ขยายความเสียหายออกไปได้ขนาดไหนกัน จงอย่าละเลยที่จะดูแลและเอาใจใส่บุตรหลานของท่านให้ดี จงอย่าให้เรื่องราวเหล่านี้เกิดกับครอบครัวของใครอีกเลย
ระดับความสยอง

      หากใครที่เคยสัมผัสกับลำนำดอกโศกในเวอร์ชั่นมังงะมาก่อนแล้วก็คงจะทราบดี ว่าภายใต้ภาพหน้าตาของเด็กสาวน่ารักๆนั้น มันแฝงความโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดไหน ซึ่งผมบอกได้เลยว่าโคตรโหดและสะเทือนใจแบบสุดๆไปเลยครับ ซึ่งในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ก็ถ่ายทอดออกมาได้เกือบสมบูรณ์แบบและใกล้เคียงกับต้นฉบับแบบถึงที่สุด จัดว่าเป็นอีกหนึ่ง Live Action จากประเทศญี่ปุ่นที่ทำออกมาได้ดีแบบสุดๆ และถึงแม้คุณจะไม่เคยอ่านเรื่องราวของมันมาก่อน ก็สามารถดูได้อย่างเข้าใจทุกอย่างดีครับผม ตัวหนังอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวสุดเจ็บปวด ความสะเทือนขวัญ การแก้แค้นสุดโหดเหี้ยมและความอัปลักษณ์ภายในจิตใจของมนุษย์
 ระดับความน่าดู

          บอกตรงๆว่าประทับใจกับภาพยนตร์ Live Action เรื่องนี้มาก เพราะว่าทำเนื้อหาและเรื่องราวได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับอย่างถึงที่สุด จะแตกต่างก็ตรงที่บางฉากถูกเปลี่ยนไปบ้าง แต่เนื้อหาโดยรวมก็ยังครบถ้วนสมบูรณ์ เรียกได้ว่าลอกการ์ตูนมาเกิน 90% แถมยังทำออกมาให้ดูเข้าใจเรื่องราวได้โดยง่าย คนที่ไม่เคยอ่านการ์ตูนมาก่อนก็สามารถดูได้อย่างสนุก ซึ่งแทบจะหาไม่ได้เลยในภาพยนตร์ Live Action จากประเทศญี่ปุ่น (ไม่ได้ดูถูกนะครับ แต่เสียงส่วนใหญ่พูดมาแบบนี้เช่นกัน ว่าอ่านการ์ตูนดีกว่าหลายเท่าตัว) โดยรวมผมให้เรื่องนี้ผ่านอย่างไม่ต้องสงสัยและเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แนวล้างแค้นที่คุณไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Shadow (2018) จอมคนกระบี่เงา


ชื่ออังกฤษ : Shadow, 影, Ying
ชื่อไทย : จอมคนกระบี่เงา
ประเภท : Action , Drama
วันที่เข้าฉาย : 8 พฤศจิกายน 2018
ผู้กำกับ : Yimou Zhang
นักแสดง : Chao Deng, Li Sun, Ryan Zheng
เรื่องย่อ
Shadow (2018) จอมคนกระบี่เงา เรื่องราวของของยอดกษัตริย์ และประชาชนที่ถูกบีบให้ออกจากบ้านเกิด ต้องดิ้นรนหาทางกลับสู่บ้านเกิดให้ได้ “จางอี้ โหมว” ได้เลือกอธิบายเหตุการณ์ในเมืองเกงจิ๋ว จากประวัติศาสตร์สามก๊กใหม่ทั้งหมด


วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Halloween [2018]

Halloween [68/2018]
(Director : David Gordon Green)
Score : 7.5/10
.
ไม่รู้ว่า Halloween ภาคก่อนๆสร้างออกมาในรูปแบบไหนและไม่รู้ว่ามันสนุกรึป่าว เพราะส่วนตัวแล้วก็ไม่เคยดูภาคก่อนๆ ยกเว้นภาคแรกของปี 1978 แต่ภาคของปี 2018 นั้นพูดได้จริงๆเลยว่าถือว่าเป็นหนังภาคต่อ Halloween ปี 1978 ที่แท้จริง
.
Halloween ภาคนี้ถือว่าเป็นการกลับมาจริงๆของภาคต่อ Halloween และเป็นการกลับมาของหนังไล่เชือดได้เลย ตัวหนังเองก็ทำออกมาได้สนุกบันเทิงมากๆ แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้มีความสดใหม่มากนัก และช่วงท้ายของหนังก็เหมือนจะเป็นจุดพีคแต่ก็ยังไม่สุดมากนักแต่ยังคงความสนุกอยู่ได้ ส่วนช่วงแรกนั้นหนังเปิดตัวมาได้ดีพอสมควร
.
เหตุผลที่ภาคนี้เป็นหนังภาคต่อจริงๆคือหนังมีความเป็น Horror Thriller ที่ได้อารมณ์เหมือนตอนที่ดูภาคแรกมากๆ หลายๆซีนแทบจะพูดได้ว่าเหมือนดูภาคแรกเลยก็ว่าได้ ในส่วนของบางคนก็อาจจะไม่ชอบที่หนังมันยึดติดกับภาคเก่าไป แต่สำหรับเราแล้วถือว่าชอบมากๆ คิดว่าหนังมันมาในทางนี้มันก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน มีกลิ่นอายภาคแรก แต่หลายๆก็มีการอัพเกรดและมีความโหดมากขึ้น รวมทั้ง music score ก็เช่นกัน
.
ไมเคิล เมเยอร์ ในภาคแรกน่ากลัวยังไง ในภาคนี้ก็ยังน่ากลัวขึ้นไปอีก หนังภาคนี้เปิดตัวละครนี้ได้อย่างดีมากๆ และตัวละครอย่าง ลอรี่ สโตรด นางเอกของภาคแรกก็เปิดตัวเรื่องราวออกมาได้ดีและน่าสนใจเช่นกัน
.
ความน่าสนใจของทั้ง 2 ตัวละครของคือการที่เราได้เห็นสตอรี่ของทั้งไมเคิลและลอรี่เองที่ผลกระทบจากเหตุการณ์ 40 ปีก่อนนั้นมันมีผลอะไรต่อตัวเองบ้าง ทำให้หนังลงไปถึงประเด็นครอบครัว แม้จะลงได้ไม่สุดแต่หนังก็เล่ามาในทางได้ดีและน่าสนใจ
.
> ส่วนที่ชอบ - หนังมีกลิ่นอายภาคแรก , ทำได้สนุกบันเทิง , การเปืดตัวของ "ไมเคิล เมเยอร์" ที่น่ากลัว , เรื่องราวสตอรี่ของลอรี่และประเด็นครอบครัวที่น่าสนใจ
> ข้อเสีย - หนังมาในทางหนังไล่เชือดแบบเดิม , ไม่สดใหม่ , ช่วงท้ายไม่ค่อยพีค (แต่ก็โอเค) , ตัวละครหนังที่มีหลายคนจนทำให้หนังหลุดโฟกัสไปหน่อยๆ
.
แนะนำสำหรับหนังเรื่องนี้ สำหรับใครที่เป็นแฟนหนังชุดนี้ และหนังสยองขวัญไล่เชือด มีกลิ่นอายความเป็นภาคแรก มีความกลัว และมีความโหดมากขึ้น หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด
.
#AllinReview #Halloween


วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

รีวิวหนัง The Nutcracker and the Four Realms [2018]

The Nutcracker and the Four Realms [67/2018]
(Director : Lasse Hallström & Joe Johnston)
Score : 6/10
.
ถ้าพูดรวมๆแล้วตัวหนังถือว่าทำออกมาได้สนุกบันเทิงเลย ดูได้เรื่อยๆแต่ก็ไม่ได้ประทับมากเท่าไหร่ เพราะพล็อตเองก็มาในทางเดิมๆ ธรรมดาและไม่ได้สัมผัสถึงความใหม่นัก ทั้งในแง่ของประเด็นหนังที่ไม่ได้สุด หลายๆอย่างที่ดูไม่ค่อยอินและจืดชืดไป และตัวละครที่ไม่ได้ลงลึกกับมันมาก
.
แนวหนังเองก็ออกไปทาง fantasy adventure แบบจ๋าๆ ที่เคยผ่านตามาก่อน และเหมาะสำหรับเด็กและครอบครัวมากๆ อาจจะเป็นจุดนี้เองที่เราไม่ได้อินไปกับหนังมากนัก แต่ก็ได้กลิ่นอายและลายเซ็นของความเป็น disney ชัดเจนเลย
.
สิ่งที่น่าจะโดเด่นที่สุดของหนังแล้วก็น่าจะเป็น น้อง Mackenzie Foy ที่รับบทเป็น คลาร่า ที่มาในหนังเรื่องนี้ดีมีเสน่ห์ สวยและน่ารัก ส่วนนักแสดงคนอื่นๆก็...ครับ ก็อยู่ระดับที่โอเค แต่ไม่ได้หวือหวาเท่าเจ๊ Keira Knightley ที่เล่นใหญ่ไม่พอ เสียงเจ๊แกก็เล่นใหญ่เช่นกัน ถ้าไม่ได้น้อง Mackenzie Foy ตัวละครในหนังทั้งหมดก็น่าจะกร่อยและดูจืดชืดธรรมดาไปอย่างแน่นอน
.
สิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันของหนังคือ งานภาพ visual effect ก็ทำออกได้ดีตามมาตรฐาน การเซ็ตติ่งฉากต่างๆที่ทำออกมาได้ดูร่วมกับสมัยนั้นได้ดี และคอสตูมต่างๆของหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้โดดเด่นและเข้ากับยุคสมัยนั้น
.
แนะนำสำหรับหนังเรืีองนี้ ก็เป็นอีกตัวเลือกที่สำหรับใครต้องการหนังที่ดูสบายๆ สนุกบันเทิงแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เหมาะสำหรับเด็กและครอบครัว เรื่องนี้ก็น่าจะตอบโจทย์แน่นอน
.
#AllinReview #TheNutcracker


วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

The Words (2012) คำลวงบนทางฝัน


เรื่องย่อ: โรรี่ เจนเซ่น (แบรดลีย์ คูเปอร์) ฝันอยากจะเป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที จนกระทั่งเขาได้เจองานเขียนเรื่องหนึ่งซ่อนอยู่ในกระเป๋าที่ซื้อมาขณะไปฮันนีมูนกับ ดอร่า (โซอี ซัลดานา) ผู้เป็นภรรยา เขานำมันมาพิมพ์ซ้ำโดยไม่ได้คาดหวังสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่นิยายเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ดังที่สุด และดึงชีวิตของเขาให้สู่ความรุ่งโรจน์ ทุกอย่างกำลังไปได้ดี จนกระทั่งการปรากฎตัวของชายแก่คนหนึ่ง (เจเรมี ไอเอินส์) ผู้เป็นคนเขียนมัน และได้เล่าเบื้องหลังเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดให้ฟัง ทำให้โรรี่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกผิดและสิ่งที่ตามมาหลอกหลอน เป็นราคาที่เขาต้องชดใช้จากสิ่งที่เขาทำ เพียงเพื่อความทะเยอทะยานและความสำเร็จในชีวิตของเขา

The Way Back (2010)

หนังได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดของ Slavomir Rawicz ที่บันทึกการเดินทางกว่า 4000 ไมล์ เพื่ออิสระภาพ The Way Back เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1941 เมื่อชาย 3 คน ได้หลบหนีกว่า 4000 ไมล์จากค่ายเชลยไซบีเรีย หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องสิ่งที่พวกเขาต้องพบเจอระหว่างการเดินทาง เพราะการหลบหนีออกมาได้มันเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอุปสรรคอีกมากที่พวกเขาต้องเจอ

The Way Back (2010)

#โกดังหนัง


วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

รีวิว FOMM One 2019 ใหม่ รถไฟฟ้าขายจริงในไทย



FOMM One 2019 แบรนด์นี้หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ แต่นี่คือรถยนต์ 4 ที่นั่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน ในงบประมาณ 664,000 บาท จะคุ้มค่าคุ้มราคาขนาดไหน ไปติดตามกันครับ

204
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา รถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก “FOMM One” ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรก ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งเปิดราคาจำหน่ายไว้เทียบเท่ารถยนต์ระดับอีโคคาร์และ B-Segment แต่แตกต่างที่ขุมพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนที่หลายคนเฝ้ารอจะได้ใช้อย่างแพร่หลาย

FOMM One เป็นผลงานการพัฒนาจากทีมวิศวกรชาวญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ บริษัท เอฟโอเอ็มเอ็ม (เอเชีย) จำกัด และถูกผลิตขึ้นในประเทศไทย ด้วยเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ในโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดเล็กเรียกว่า “Micro-Fab” ซึ่งมีชิ้นส่วนเพียง 1,600 ชิ้น เทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไปที่มีชิ้นส่วนกว่า 30,000 ชิ้น
100
ครั้งนี้ Sanook! Auto ได้รับเกียรติจาก FOMM ให้เข้าร่วมสัมผัสและทดสอบ FOMM One 2019 อย่างใกล้ชิด เพื่อพิสูจน์ว่ารถคันนี้มีสมรรถนะเป็นอย่างไร และเหมาะกับกลุ่มลูกค้าประเภทไหนกันแน่

FOMM One เป็นรถยนต์ในกลุ่ม L7e ตามมาตรฐานยุโรป ซึ่งระบุว่าเป็นรถประเภทจักรยานยนต์ 4 ล้อขนาดเล็ก ที่ออกแบบให้รับน้ำหนักผู้โดยสารไม่เกิน 200 กิโลกรัม ซึ่งตัวอย่างรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ Renault Twizy สัญชาติฝรั่งเศสที่วางจำหน่ายทั่วยุโรปนั่นเอง
108
วินาทีแรกที่เราเห็น FOMM One 2019 ตัวเป็นๆ ก็เห็นได้ชัดว่ารถคันนี้เป็นรถขนาดเล็กที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยสัมผัสมา ด้วยตัวถังที่มีความยาวตลอดคันเพียง 2,585 มม. ความกว้าง 1,295 มม. ความสูง 1,560 มม. และน้ำหนักตัวรถไม่รวมแบตเตอรี่เพียง 450 กิโลกรัมเท่านั้น
102
ดีไซน์ภายนอกก็อย่างที่เห็นนี่แหละครับ มีอุปกรณ์พื้นฐานอย่างไฟหน้า, ไฟเลี้ยวด้านข้าง, ที่ปัดน้ำฝนแบบก้านเดียว, หัวฉีดน้ำล้างกระจก, กระจกมองข้าง, ไฟท้ายแบบ LED ทรงกลม พร้อมไฟเลี้ยวและไฟถอยหลังให้พร้อม ขณะที่กระจกหลังสามารถเปิดยกขึ้นได้ โดยมีเหล็กค้ำถูกซ่อนเอาไว้หากต้องการเปิดค้าง มาพร้อมล้อขนาด 15 นิ้ว และยางขนาด 145/65 R15
101
130
สำหรับช่องชาร์จไฟจะถูกติดตั้งไว้ด้านหน้า โดยใช้ปลั๊กเสียบแบบ Type 2 ซึ่งสามารถหาชาร์จได้ทั่วไป โดยคันที่เราถ่ายภาพไว้นี้ ถูกเสียบเข้ากับปลั๊กไฟบ้านแบบ 2 รูธรรมดาๆ ทั่วไปเท่านั้น ซึ่ง FOMM ระบุว่าใช้เวลาชาร์จจนเต็ม (0-100%) อยู่ที่ 6 ชั่วโมง สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางสูงสุด 160 กิโลเมตร หากคิดเป็นค่าไฟจะตกอยู่ที่ 30 สตางค์ต่อกิโลเมตรเท่านั้น!
112
มอเตอร์ขับเคลื่อนของ FOMM One เป็นแบบ In-wheel คือ ติดตั้งไว้กับชุดล้อคู่หน้าทั้งสองข้าง ให้กำลังสูงสุดรวมกันอยู่ที่ 10 กิโลวัตต์ หรือราว 13.5 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดมหาศาลถึง 560 นิวตัน-เมตร เรียกได้ว่าแรงกว่ากระบะเครื่องยนต์ดีเซลทุกรุ่นในตลาดขณะนี้กันเลย

รถคันนี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 80 กม./ชม. ซึ่งก็ถือว่าเร็วมากแล้วสำหรับรถไซส์จิ๋วแบบนี้
115

 ภายในห้องโดยสารเน้นความเรียบง่าย เบาะนั่งคู่หน้าหุ้มด้วยวัสดุผ้าสีดำ ฝั่งคนขับสามารถปรับเอนได้ ขณะที่เบาะนั่งด้านหลังเป็นแบบเรียบ พร้อมพนักพิงศีรษะ 2 ตำแหน่ง มีช่องวางของอเนกประสงค์มาให้ และที่สำคัญคือ มีเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดให้ครบทั้ง 4 ที่นั่ง
113
พื้นที่เบาะนั่งด้านหลังมีขนาดเล็ก ซึ่งนักข่าวที่เข้าไปนั่งทดสอบด้วยกันบอกว่าแค่พอนั่งได้เท่านั้น เพราะพนักพิงด้านหน้าชนหัวเข่าตลอดเวลา แต่กระนั้นก็ยังมีพื้นที่เหนือศีรษะเหลือๆ ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบตัวถังให้มีลักษณะเป็นทรงกล่องนั่นเอง
122
ภายในห้องโดยสารมีจุดเด่นอยู่ที่พวงมาลัย ซึ่งออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับคันบังคับของเครื่องบิน ไม่ใช่พวงมาลัยกลมๆ ที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป โดยแป้นหลังพวงมาลัยที่เห็นอยู่นั้น ไม่ใช่แป้นเปลี่ยนเกียร์แต่อย่างใดหรอกนะครับ แต่เป็นแป้นคันเร่ง! แถมยังมีให้ถึง 2 อันอีกด้วย ซึ่งการใช้งานแป้นคันเร่งจะขอพูดถึงอีกครั้งในช่วงทดลองขับครับ ส่วนแป้นเหยียบด้านล่างเป็นแป้นเบรกเพียงอันเดียว
121
บริเวณคอพวงมาลัยจะถูกติดตั้งก้านเปิด-ปิดไฟหน้าและไฟเลี้ยว ขณะที่ปุ่มควบคุมระบบปัดน้ำฝนถูกติดตั้งเวณแผงคอนโซลฝั่งผู้ขับ สามารถปรับได้ 2 ระดับ คือ ช้าและเร็ว และฟังก์ชั่นฉีดน้ำล้างกระจกเท่านั้น
116
ส่วนสวิตช์ควบคุมตรงกลาง ประกอบด้วยปุ่มเกียร์ ซึ่งมีให้เลือก 3 ตำแหน่ง คือ D, N และ R ไม่มีตำแหน่งเกียร์ P แต่อย่างใด หากต้องการจอดรถไว้ก็เพียงปลดเกียร์ว่าง พร้อมกับดึงเบรกมือกันรถไหล... ง่ายๆ กันแบบนี้เลย

ใกล้กันเป็นสวิตช์ไฟฉุกเฉิน และปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ ซึ่งทำได้เพียงปรับความแรงลมเท่านั้น ไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้ และมีปุ่ม ODO สำหรับรีเซ็ตระยะทางมาให้
117
ส่วนหน้าจอเหนือแผงคอนโซลนั้น ใช้สำหรับบอกความเร็ว, บอกตำแหน่งเกียร์, ปริมาณแบตเตอรี่ และสถานการณ์ทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น

นอกจากนั้น ในตัวรถยังมีช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์สำหรับชาร์จอุปกรณ์กระจุกกระจิก, ช่องเก็บของเหนือแผงคอนโซล และกระจกไฟฟ้ามาให้ทั้ง 2 ข้าง
127
เอาล่ะครับ สำหรับการทดสอบ FOMM One ในครั้งนี้ เราทดลองขับกันบนสนามโกคาร์ท มอเตอร์สปอร์ตแลนด์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณแดนเนรมิตเก่านั่นเอง
132
ก่อนเราจะเริ่มออกตัวได้นั้น เราต้องกดปุ่ม D บริเวณแผงคอนโซลเสียก่อน จากนั้นเมื่อปล่อยแป้นเบรก รถจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเอื่อยๆ การเพิ่มความเร็วสามารถทำได้โดยการบีบแป้นคันเร่งที่พวงมาลัย ยิ่งบีบแรงเท่าไหร่ รถก็จะเพิ่มความเร็วสูงขึ้นไปเท่านั้น แต่หากบีบพร้อมกันทั้งสองฝั่ง จะเป็นการเรียกกำลังสูงสุดออกมาใช้งาน ช่วยให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น

จุดแรกเรามาสัมผัสถึงวงเลี้ยวของ FOMM One ที่ระบุว่าแคบเพียง 1.8 เมตรเท่านั้น ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเป็นรถที่มีฐานล้อสั้นมาก สามารถขับขี่ได้อย่างคล่องตัว ขณะที่พวงมาลัยสามารถหมุนได้ประมาณ 1 ใน 3 ของวงรอบก็สุดแล้ว หากใครเคยขับรถกอล์ฟมาก่อนอยู่แล้ว นั่นแหละครับ ความรู้สึกเดียวกันเลย

แต่กระนั้น การเลือกใช้แป้นคันเร่งแบบติดตั้งอยู่บนพวงมาลัย ทำให้การเลี้ยงความเร็วในขณะหมุนพวงมาลัยจนสุดทำได้ไม่สะดวกนัก ต้องคอยสลับแป้นเปลี่ยนประคองความเร็วอยู่เรื่อยๆ
134
เลยจากจุดทดสอบวงเลี้ยว เรามาทดสอบการเข้าโค้งดูบ้าง ซึ่งการหมุนพวงมาลัยเพียงน้อยนิด ก็พอจะควบคุมทิศทางให้ไปตามที่ต้องการแล้ว ขณะที่ช่วงล่างแม้ว่าถูกเซ็ทมาเพื่อเน้นความนุ่ม แต่กระนั้น ด้วยความที่รถมีฐานล้อสั้นมาก ทำให้รถมีอาการเด้งทั้งคันเวลาที่พื้นสนามไม่เรียบ

จากนั้น เราทดสอบอัตราเร่งกันต่อ โดยคราวนี้เราบีบแป้นคันเร่งทั้งสองข้างอย่างเต็มที่เพื่อเรียกกำลังสูงสุดออกมา ตัวรถสามารถออกตัวจากจุดหยุดนิ่งได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นข้อดีของระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้แรงบิดสูง แต่กระนั้น เรี่ยวแรงก็ค่อยๆ หายไปตามความเร็วที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสนามทดสอบถูกเซ็ทระยะทางไว้เพียงสั้นๆ เราทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 45 กม./ชม. ก็ต้องผ่อนคันเร่งแล้ว
133
เนื่องจาก FOMM One ติดตั้งระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เมื่อปล่อยคันเร่ง ก็จะชาร์จพลังงานกลับไปยังแบตเตอรี่ ทำให้ความเร็วลดลงอย่างรวดเร็วคล้ายกับอาการเอนจิ้นเบรก ซึ่งตลอดเส้นทางการทดสอบเราเหยียบเบรกเพียงเล็กน้อยเฉพาะเวลาที่ต้องการให้รถหยุดนิ่งเท่านั้นเอง ชวนให้นึกถึงแป้นคันเร่ง e-Pedal ของ Nissan Leaf ยังไงยังงั้น!
101_1
นอกจากนี้ ใครที่เป็นกังวลเรื่องการลุยน้ำ ว่าจะมีไฟรั่วหรือไฟช็อตหรือไม่นั้น ทางฟอมม์ได้ทดสอบให้เราเห็นว่า หากรถคันนี้มีความจำเป็นต้องลุยน้ำลึกๆ ตัวรถจะสามารถลอยอยู่บนน้ำได้อย่างปลอดภัย โดยยังคงใช้งานมอเตอร์ขับเคลื่อนได้ตามปกติอีกด้วย

แต่กระนั้น การทดสอบนี้ก็ชวนให้เราคิดว่าหากเผลอขับรถคันนี้ลุยน้ำกันจริงๆ FOMM One จะกลายเป็นรถคันเดียวที่ลอยแอ้งแม้งอยู่ในน้ำ ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ ในขณะที่รถคันอื่นกำลังวิ่งฝ่ากระแสน้ำอย่างสบายใจเฉิบหรือไม่
100_1
เอาล่ะครับ มาถึงตรงนี้คงต้องสรุปการทดสอบการขับขี่ FOMM One คันนี้เสียหน่อย ซึ่งจากการทดสอบระยะสั้นๆ คงบอกได้ว่า FOMM One เป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่ให้ความประหยัด หลีกหนีจากน้ำมันที่มีราคาสูงและกำลังจะขาดแคลนในอนาคต แต่ถึงอย่างไร FOMM One ก็ยังไม่เหมาะสำหรับเป็นรถซิตี้คาร์เพื่อทดแทนการใช้งานในเมืองเท่าไหร่นัก นอกเสียจากว่าจะใช้ในระยะทางใกล้ๆ หรือใช้งานเฉพาะกิจ เช่น ขับภายในหมู่บ้าน, รีสอร์ท หรือภายในสถานที่ต่างๆ ซึ่งไม่ต้องการสร้างมลพิษจากไอเสีย
109
แต่หากคุณมีกิจการในพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งต้องการหาพาหนะทดแทนการเดินเป็นระยะทางไกลๆ แล้วล่ะก็ ผู้เขียนเชื่อว่า FOMM One นี่แหละที่สามารถตอบโจทย์ได้ เนื่องจากเป็นรถไฟฟ้าไร้มลพิษ มีระยะทางขับขี่เหลือเฟือ ไม่ต้องชาร์จกันบ่อยๆ ไม่ต้องทนกับกลิ่นน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาต่ำ แถมยังมีแอร์เย็นๆ ให้ชื่นใจตลอดทาง แลกกับค่าตัว 6 แสนกลางๆ ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยครับ

Ayla: The Daughter of War (2017) อัยลา เด็กหญิงจากสงคราม



Ayla: The Daughter of War (2017) อัยลา เด็กหญิงจากสงคราม
IMDb 8.9, Rotten Tomatoes 100%
ความชอบส่วนตัว 9/10 คะแนน
หนังแนว Drama, History, War

** หนังสัญชาติตุรกี **

*** หนังแนะนำ ***

เรื่องย่อ
ภาพยนตร์ดราม่ายุคสงครามเกาหลี ว่าด้วยเรื่องราวของนายทหารตุรกีผู้พบกับเด็กหญิงวัย 5 ขวบ ที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง เขาโอบรับความน่าเอ็นดูของเธอ และตัดสินใจดูแลเธอให้พ้นจากภาวะสงคราม

Halloween ฮาโลวีน


หนังภาคต่อของ Halloween ปี 1978 เป็นการกลับมาอีกครั้งของ ไมเคิล เมเยอร์ และป้าลอรี่ สโตรด หนังเปิดตัวคำวิจารณ์ในระดับที่ดีเลย และได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes ไปถึง 79% ถือว่าเป็นหนังสยองขวัญไล่เชือดอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดในปีนี้


Bohemian Rhapsody โบฮีเมียนแรปโซดี


หนังชีวประวัติของ "เฟร็ดดี้ เมอร์คิวรี่" นักร้องวง Queen และก็รวมไปถึงวง Queen ด้วย หนังนำแสดงโดย รามี่ มาเลค และกำกับโดย ไบรอัน ซิงเกอร์ ใครที่ติดตามวงนี้อยู่แล้วก็น่าจะไม่ควรพลาดกับหนังเรื่องนี้

The Nutcracker and the Four Realms เดอะนัทแครกเกอร์กับสี่อาณาจักรมหัศจรรย์


หนังแฟนตาซีเรื่องใหม่ของดิสนีย์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของคลาร่าที่ตามหากุญแจปริศนาสู่การไขความลับบางอย่าง ซึ่งนำไปสู่การผจญภัยในทั้ง 4 อาณาจักรเพื่อปกป้องและคืนความสงบสุขให้แก่โลก หนังนำแสดงโดย แม็คเคนซี่ ฟอย, เคียร่า ไนท์ลีย, มอร์แกน ฟรีแมน ทุนสร้างของหนังเรื่องนี้ก็จะไม่ได้มาเล่นๆเลย ซึ่งมีทุนสร้างประมาณ 130 ล้านเหรียญ


"Gladiator" เดินหน้าทำภาคต่อ กำกับโดย Ridley Scott


"Gladiator" หนัง Historical Epic ที่กำกับโดย Ridley Scott ทำเงินทั่วโลกไปถึง 460 ล้านเหรียญ ตัวหนังได้ชิงรางวัลออสการ์ไปถึง 12 รางวัล และคว้ามาได้ 5 รางวัล และก็มีประกาศออกมาแล้วว่าหนังเรื่องนี้ก็กำลังจะมีภาคต่อครับ โดยหนังจะกำกับโดย Ridley Scott เช่นเดิม และเขียนบทโดย Peter Craig จาก Hunger Games และ Top Gun: Maverick ที่จะฉายในปีหน้านี้ ซึ่งก็ยังไม่มีการประกาศวันฉายและแคสต์นักแสดง จากนี้ก็ต้องตามดูกันต่อไปครับ
.
ที่มา : https://sea.ign.com/ridley-scott/143086/news/gladiator-2-ridley-scott-moving-forward-with-sequel-to-russe